วิธีการผ่าตัด
1. วิธีการให้ยาชา : การดมยาสลบ
2. การลงแผลผ่าตัด
2.1) แผลรักแร้
ข้อดี คือ แผลไม่อยู่บนหน้าอก
ข้อเสียคือ มีข้อจำกัดในการจัดการฐานเต้านม การหยุดห้ามเลือด ยกเว้นผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง
2.2) แผลใต้ราวนม
ข้อดี คือ ผ่าตัดได้ง่าย เห็นชัดเจน หยุดเลือดได้ง่าย
ข้อเสีย คือ มีแผลเป็นอยู่ที่ฐานของเต้านม
2.3) แผลปานนม
ข้อดี คือ แผลซ่อนระหว่างปานนมกับผิวหนัง
ข้อเสียคือ เกิดพังผืดรัดเต้านมและติดเชื้อมากกว่าแผลผ่าตัดอื่น ถ้าใส่เต้านมเทียมขนาดใหญ่อาจไม่สามารถใส่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเส้นผ่านศูนย์กลางของปานนมน้อยกว่า 40 มม.
3. มีถุงซิลิโคนชนิดใดให้เลือกใช้บ้าง
ชนิดของถุงซิลิโคน
1. ซิลิโคนน้ำเกลือ หรือ Saline Breast Implant ในปัจจุบันศัลยแพทย์ไม่นิยมใช้ซิลิโคนชนิดนี้ แล้ว เนื่องจากความเสี่ยงในการรั่วซึมภายใน
2. ซิลิโคนเจล หรือ Silicone Breast Implant ตัวเจลมีความคงตัวแต่มีความนิ่ม ให้ความรู้สึกเหมือนเต้านมธรรมชาติ หากซิลิโคนเกิดแตก ตัวเจลจะคงรูปไม่ไหลออกเหมือนกับน้ำเกลือ การทำอัลตร้าซาวน์หรือเอ็มอาร์ไอสามารถเห็นได้ว่าซิลิโคนยังคงรูปดี หรือไม่ หรือมีความผิดปกติ อย่างไร ถุงซิลิโคนชนิดนี้ยังแบ่งได้อีกหลายแบบ ตามผิวและรูปร่างของถุงซิลิโคน คือ
- ซิลิโคนทรงกลม (Round Breast Implant) เป็นซิลิโคนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด สามารถทำให้หน้าอกดูมีเนินหน้าอก พุ่งสวย ซิลิโคนทรงกลมมีลักษณะเป็นทรงกลม จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการหมุน แบ่งออกเป็นผิวเรียบและผิวทรายโดย
แบบพื้นผิวเรียบ (smooth) : ถุงซิลิโคนสามารถเคลื่อนไหวและเปลี่ยนทิศทางของซิลิโคนได้ ให้ความรู้สึกสัมผัสอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มีข้อเสีย คือ มีโอกาสเกิดพังผืดรัดถุงเต้านม (Capsular contracture) สูงกว่าผิวทราย เมื่อวางอยู่ชั้นเหนือกล้ามเนื้อ แต่โอกาสเกิดจะไม่ต่างกันถ้าวางชั้นใต้กล้ามเนื้อ
แบบผิวทราย (Textured) : มีข้อดี คือ ลดการเกิดพังผืดรัดถุงเต้านม แต่มีโอกาสคลำได้เป็นคลื่นของผิวถุงซิลิโคน (rippling) มากกว่าถ้าเทียบกับผิวเรียบ ภายหลังติดตามผลของการเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคนพบว่า ซิลิโคนชนิดผิวทรายมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่า “BIA-ALCL” (Breast Implant Related- Anaplastic Large Cell Lymphoma) แต่อัตราการเกิด ประมาณ 1: 3,000-80,000 ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของถุงซิลิโคน
- ซิลิโคนทรงหยดน้ำ (Teardrop breast implant) จะให้ความเป็นธรรมชาติ รูปทรงซิลิโคนดูคล้ายหยดน้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีฐานหน้าอกสั้น หรือ หน้าอกที่มีเนื้อน้อยมาก และต้องการหน้าอกธรรมชาติ ไม่ชอบเนินหน้าอกมากๆ ถุงซิลิโคนชนิดนี้มีแต่เป็นผิวทรายเท่านั้น เพื่อป้องกันการหมุนของถุงซิลิโคน
ปัจจุบันมีถุงซิลิโคนรุ่นใหม่ที่เป็นทรงกลม แต่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ตามท่าทางได้ ซึ่งจะทำให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น และผิวทรายละเอียดมากขึ้น ทำให้ลดการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ข้อมูลยังไม่มากเพียงพอ
4. การวางตำแหน่งของซิลิโคน การวางถุงซิลิโคน สามารถวาง 4 ตำแหน่ง คือ

1. ใต้เนื้อเต้านม (Subglandular plane) เป็นการวางถุงซิลิโคนใต้เนื้อเต้านม เหนือกล้ามเนื้อ
ข้อดี : ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เกิดการเคลื่อนไหวตามกล้ามเนื้อ (animation deformity) และแก้ไขเต้านมคล้อยได้บ้าง
ข้อเสีย : อาจคลำถุงซิลิโคนได้ในผู้ป่วยเนื้อเต้านมบาง ๆ เกิดพังผืดรัดเต้านม (capsular contracture) ได้มากกว่าตำแหน่งอื่น โดยเฉพาะเมื่อใช้ ถุงซิลิโคนผิวเรียบ
4.2. ใต้เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (Subfascial plane) เป็นการวางถุงซิลิโคนเหนือกล้ามเนื้อ แต่อยู่ใต้ต่อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ
ข้อดี : เหมือนวางใต้เนื้อเต้านม แต่ลดการเกิดพังผืดรัดเต้านม (capsular contracture)ได้ ข้อเสีย : อาจคลำถุงซิลิโคนได้ในผู้ป่วยเนื้อเต้านมบาง ๆ
4.3. ใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular plane) เป็นการวางถุงซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ
ข้อดี : ลดการเกิดพังผืดรัดเต้านม (capsular contracture) โดยเฉพาะเมื่อใส่ถุงซิลิโคนผิวเรียบ คลำถุงซิลิโคนยากกว่าเพราะมีกล้ามเนื้อคลุม ข้อเสีย : หลังผ่าตัดเจ็บกว่าใต้เนื้อเต้านมและใต้เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เกิดการเคลื่อนไหวตามกล้ามเนื้อ (animation deformity)
4.4. Dual Plane เป็นการวางถุงซิลิโคนเหมือนการวางเต้านมเทียมใต้กล้ามเนื้อ แต่ตัดส่วนล่างของกล้ามเนื้อออกจากกระดูกซี่โครง ทำให้ถุงซิลิโคนส่วนบนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ pectoralis major แต่ส่วนล่างไม่มีกล้ามเนื้อคลุม
ข้อดี : เหมือนใต้กล้ามเนื้อ แต่สามารถแก้ไขเต้านมคล้อยได้เหมือนใต้เนื้อเต้านม
ข้อเสีย : เหมือนใต้กล้ามเนื้อ
5. ตรวจสอบผลการผ่าตัดก่อนเย็บปิดแผล
6. เย็บปิดแผลและพันผ้ารัดรอบหน้าอก