การผ่าตัดนี้คืออะไร
การผ่าตัดยกกระชับหน้าอกคืออะไร
การตัดเนื้อเต้านมและผิวหนังที่หย่อนคล้อย จัดทรงรูปร่างเต้านมให้สวยงาม ยกตำแหน่งหัวนมให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง สามารถทำได้ทั้งยกกระชับเต้านมเพียงอย่างเดียวหรือยกกระชับร่วมกับการเสริมด้วยซิลิโคน
การมีเต้านมหย่อนคล้อยมักเกิดหลังการคลอดและให้นมบุตร อายุมากขึ้น หรือเกิดจากการลดน้ำหนักอย่างมาก ซึ่งจะทำให้เต้านมที่เคยสวยงามเริ่มคล้อยและหย่อนลง ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในรูปร่างตามมาได้
การมีเต้านมหย่อนคล้อยมักเกิดจาก :
- หลังการคลอด
- ให้นมบุตร
- การลดน้ำหนักอย่างมาก
- อายุมากขึ้น
- แรงโน้มถ่วง
ข้อดีและข้อเสียของการลดขนาดหน้าอก
ข้อดี :
- แก้ไขหน้าอกให้มีรูปทรงที่สวยงาม เหมาะสมกับร่างกาย
- ทำให้หน้าอกและหัวนมอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
- ทำให้ความมั่นใจกลับคืนมา
ข้อเสีย :
- เต้านมหลังผ่าตัดอาจมีขนาดเล็กลงเล็กน้อย และเนินนมอาจไม่เต็ม ถ้าไม่ได้เสริมซิลิโคนร่วมด้วย ในกรณีที่ยกกระชับหน้าอกและเสริมด้วยซิลิโคน อาจไม่สามารถเลือกซิลิโคนที่มีขนาดใหญ่มากได้ เพราะจะทำให้การยกกระชับมีข้อจำกัด เนื่องจากผิวหนังอาจตึงเกินไป ไม่สามารถเย็บแผลปิดหรือมีปัญหาเรื่องแผลแยกได้
- ไม่สามารถแก้ไขความห่างของหน้าอกได้ในบางกรณี
- สามารถแก้ความไม่เท่ากันของเต้านมทั้งสองข้างได้แต่ไม่ 100%
การผ่าตัดมีวิธีและขั้นตอนอย่างไร
วิธีการผ่าตัด
แผลผ่าตัดที่ใช้ในการยกกระชับหน้าอกที่นิยมมีอยู่ 3 ชนิด คือ
1. แผลผ่าตัดรอบปานนม (Circumareolar Incision)
ข้อดี : แผลเป็นน้อย มีเฉพาะรอบลานนมเท่านั้น
ข้อเสีย : ลดขนาดเต้านมได้ไม่มาก ยกหัวนมขึ้นได้ไม่เกิน 2 เซนติเมตร และลานหัวนมอาจผิดรูปได้

2. แผลผ่าตัดแบบตั้ง (Vertical Incision)
ข้อดี : แผลผ่าตัดสั้น ระยะเวลาในการผ่าตัดน้อย
ข้อเสีย : เก็บผิวหนังส่วนเกินได้เฉพาะในแนวตั้งเท่านั้น ตัดเนื้อเต้านมที่หย่อนคล้อยได้ไม่มาก เต้านมช่วงแรกดูไม่สวย ต้องรอเวลาประมาณ 3-6 เดือนจึงเข้ารูปดูเป็นธรรมชาติ

3. แผลผ่าตัดรูปตัว T หัวกลับ (inverted T Incision)
ข้อดี : แก้รูปทรงและความหย่อนคล้อยได้ตามต้องการ รูปร่างเต้านมสวยและใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ตัดผิวหนังส่วนเกินได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
ข้อเสีย : ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน แผลผ่าตัดยาว

ชนิดของถุงซิลิโคน
การเลือกชนิดของถุงซิลิโคน สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดคือ
1. ซิลิโคนน้ำเกลือ หรือ Saline Breast Implant ในปัจจุบันศัลยแพทย์ไม่นิยมใช้ซิลิโคนชนิดนี้ แล้ว เนื่องจากความเสี่ยงในการรั่วซึมภายใน
2. ซิลิโคนเจล หรือ Silicone Breast Implant ตัวเจลมีความคงตัวแต่มีความนิ่ม ให้ความรู้สึกเหมือนเต้านมธรรมชาติ หากซิลิโคนเกิดแตก ตัวเจลจะคงรูปไม่ไหลออกเหมือนกับน้ำเกลือ การทำอัลตร้าซาวน์หรือเอ็มอาร์ไอสามารถเห็นได้ว่าซิลิโคนยังคงรูปดี หรือไม่ หรือมีความผิดปกติ อย่างไร ถุงซิลิโคนชนิดนี้ยังแบ่งได้อีกหลายแบบ ตามผิวและรูปร่างของถุงซิลิโคน คือ
2.1) ซิลิโคนทรงกลม (Round Breast Implant ) เป็นซิลิโคนที่เป็นที่นิยมมากที่สุด สามารถทำให้หน้าอกดูมีเนินหน้าอก พุ่งสวย ซิลิโคนทรงกลมมีลักษณะเป็นทรงกลม จึงไม่ต้องกังวลเรื่องการหมุน แบ่งออกเป็นผิวเรียบและผิวทรายโดย
- แบบพื้นผิวเรียบ (smooth) ถุงซิลิโคนสามารถเคลื่อนไหวและเปลี่ยนทิศทางของซิลิโคนได้ ให้ความรู้สึกสัมผัสอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มีข้อเสีย คือ มีโอกาสเกิดพังผืดรัดถุงเต้านม (Capsular contracture) สูงกว่าผิวทราย เมื่อวางอยู่ชั้นเหนือกล้ามเนื้อ แต่โอกาสเกิดจะไม่ต่างกันถ้าวางชั้นใต้กล้ามเนื้อ
- แบบผิวทราย (Textured) มีข้อดี คือ ลดการเกิดพังผืดรัดถุงเต้านม แต่มีโอกาสคลำได้เป็นคลื่นของผิวถุงซิลิโคน (rippling) มากกว่าถ้าเทียบกับผิวเรียบ ภายหลังติดตามผลของการเสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคนพบว่า ซิลิโคนชนิดผิวทรายมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่า “BIA-ALCL” (Breast Implant Related- Anaplastic Large Cell Lymphoma) แต่อัตราการเกิด ประมาณ 1: 3,000-80,000 ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของถุงซิลิโคน
2.2) 2.2) ซิลิโคนทรงหยดน้ำ (Teardrop breast implant) จะให้ความเป็นธรรมชาติ รูปทรงซิลิโคนดูคล้ายหยดน้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีฐานหน้าอกสั้น หรือ หน้าอกที่มีเนื้อน้อยมาก และต้องการหน้าอกธรรมชาติ ไม่ชอบเนินหน้าอกมากๆ ถุงซิลิโคนชนิดนี้มีแต่เป็นผิวทรายเท่านั้น เพื่อป้องกันการหมุนของถุงซิลิโคน
ปัจจุบันมีถุงซิลิโคนรุ่นใหม่ที่เป็นทรงกลม แต่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ตามท่าทางได้ ซึ่งจะทำให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น และผิวทรายละเอียดมากขึ้น ทำให้ลดการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่ข้อมูลยังไม่มากเพียงพอ
การวางตำแหน่งของซิลิโคน
การวางถุงซิลิโคน สามารถวาง 4 ตำแหน่ง คือ

1. ใต้เนื้อเต้านม (Subglandular plane) เป็นการวางถุงซิลิโคนใต้เนื้อเต้านม เหนือกล้ามเนื้อ
ข้อดี คือ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เกิดการเคลื่อนไหวตามกล้ามเนื้อ (animation deformity) และแก้ไขเต้านมคล้อยได้บ้าง
ข้อเสีย คือ อาจคลำถุงซิลิโคนได้ในผู้ที่เนื้อเต้านมบางและเกิดพังผืดรัดเต้านม (capsular contracture) ได้มากกว่าตำแหน่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ ถุงซิลิโคนผิวเรียบ
2. ใต้เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ (Subfascial plane) เป็นการวางถุงซิลิโคนเหนือกล้ามเนื้อ แต่อยู่ใต้ต่อเยื่อหุ้ม กล้ามเนื้อ
ข้อดี เหมือนวางใต้เนื้อเต้านม แต่ลดการเกิดพังผืดรัดเต้านม (capsular contracture)ได้
ข้อเสีย คือ อาจคลำถุงซิลิโคนได้ในผู้ป่วยเนื้อเต้านมบาง ๆ
3. ใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular plane) เป็นการวางถุงซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อ
ข้อดี คือ ลดการเกิดพังผืดรัดเต้านม (capsular contracture) โดยเฉพาะเมื่อใส่ถุงซิลิโคนผิวเรียบ คลำถุงซิลิโคนยากกว่าเพราะมีกล้ามเนื้อคลุม
ข้อเสีย คือ หลังผ่าตัดเจ็บกว่าใต้เนื้อเต้านมและใต้เยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ เกิดการเคลื่อนไหวตามกล้ามเนื้อ (animation deformity)
4. Dual plane เป็นการวางถุงซิลิโคนเหมือนการวางใต้กล้ามเนื้อ แต่ตัดส่วนล่างของกล้ามเนื้อออกจากกระดูกซี่โครง ทำให้ถุงซิลิโคนส่วนบนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ แต่ส่วนล่างไม่มีกล้ามเนื้อคลุม
ข้อดี เหมือนใต้กล้ามเนื้อ แต่สามารถแก้ไขเต้านมคล้อยได้เหมือนใต้เนื้อเต้านม
ข้อเสีย เหมือนใต้กล้ามเนื้อ
ข้อปฏิบัติหลังการผ่าตัด
ข้อปฏิบัติหลังการผ่าตัด
1.) การบวมและการฟกช้ำ
- การบวมและการฟกช้ำจะเกิดได้มากที่สุดใน 48-72 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด แล้วจะค่อยๆดีขึ้นหลังวันที่ 4
- การฟกช้ำจะดีขึ้นภายในระยะเวลาตั้งแต่ 4 วัน และจะหายจนหมดใน 21วัน
- การบวมจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ระยะแรกการบวมจะลดลงอย่างรวดเร็วใน 2-3 สัปดาห์ และจะค่อยๆลดลงอย่างช้าๆจนถึง 3-6 เดือน
- การประคบเย็นโดยการใช้เจลเย็นหรือน้ำแข็งประคบ โดยรองด้วยผ้าสะอาดก่อนประคบบริเวณนั้นๆ ในช่วง 3 วันแรก จะช่วยลดการบวมและการฟกช้ำที่เกิดขึ้นได้
2.) อาการปวดและยาระงับปวดหลังผ่าตัด
- อาการปวดหลังการผ่าตัดจะมากที่สุดในวันแรก แล้วจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ
- ควรรับประทานยาแก้ปวด เมื่อมีอาการปวดเท่านั้น และไม่รับประทานเกินขนาดตามแพทย์สั่ง
- ยาแก้ปวดอาจทำให้มีผลข้างเคียงในเรื่องของการเวียนศีรษะหรืออาเจียนได้
- ถ้ามีอาการปวดผิดปกติควรติดต่อแพทย์ทันที
3.) การใช้ยาต่างๆ
- ต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อจนหมดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- รับประทานยาเพื่อรักษาโรคประจำตัวได้หลังการผ่าตัด ตามแพทย์พิจารณา
- ห้ามทานยาจำพวกกลุ่มยาแอสไพริน (Aspirin) หรือยาใดๆที่มีส่วนประกอบของแอสไพริน (Aspirin) และวิตามินอี (Vitamin E) อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนและหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะเลือดไหลไม่หยุด หรือการฟกช้ำที่เกิดขึ้นได้ และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน
4.) การดูแลแผลผ่าตัด
- เมื่อถอดสายระบายเลือดออกแล้วจึงจะสามารถอาบน้ำได้ หรือเช็ดตัวเบาๆ และซับให้แห้งด้วย ผ้าสะอาด
- สามารถแกะแผ่นปิดแผลกันน้ำ ออกได้ 48 ชั่วโมง หลังจากออกจากโรงพยาบาล
- ระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำอย่างน้อย 3-4 วัน หลังการผ่าตัด
- ไม่สัมผัสบริเวณแผลผ่าตัดโดยไม่จำเป็น
- ควรใช้ไม้พันสำลี หรืออุปกรณ์สำหรับป้ายยาในการทายาฆ่าเชื้ออย่างน้อย 2 ครั้ง/วัน
- แพทย์จะนัดตัดไหมใน 7-10 วัน ขึ้นกับความตึงของแผล
- ถ้าแผลผิดปกติควรพบแพทย์ทันที
- ถ้าต้องการทายาแก้แผลเป็น ควรเริ่มทาเมื่อแผลหายดี หลังตัดไหม
5.) ชุดยกกระชับหน้าอก
- ควรใส่ชุดกระชับหน้าอกหรือ support bra ( Bra ไม่มีโครงลวด )ตลอดเวลา เป็นเวลา 1-2 เดือน หลังการผ่าตัด
- หลังจาก 6 เดือนแล้ว ควรใส่เสื้อชั้นในปกติได้ เพื่อให้ได้ผลดีในระยะยาว
6.) การนวดเต้านม
- ทำเฉพาะในรายที่เสริมเต้านมด้วยถุงซิลิโคนทรงกลมเท่านั้น
- การนวดเต้านมเริ่มทำได้ 3-4 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
- ควรนวดวันละอย่างน้อย 2 ครั้ง หลังอาบน้ำ โดยนวดครั้ง ละ 5-10 นาที
7.) การออกกำลังกาย
- ระหว่าง 5 วันแรกหลังจากการผ่าตัด สิ่งสำคัญ คือ หลีกเลี่ยงกิจกรรมต่างๆ เพราะอาจทำให้ส่งผล ต่อความดันในเลือดแล้วอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการฟกช้ำและภาวะเลือดออกใต้แผลผ่าตัดได้
- การออกกำลังกายปกติ สามารถเริ่มได้ทีละน้อย หลังการผ่าตัด 6-8 สัปดาห์
- ไม่ยกของหนักเกินกว่า 5 กิโลในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด
- หลีกเลี่ยงการอบซาวน่าในระยะเวลา 6 เดือน หลังการผ่าตัด
- ไม่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาหรือเล่นกีฬาใดๆอย่างน้อย 6 เดือน หลังการผ่าตัด
8.) การนอนหลับ
- ภายหลังผ่าตัดควรได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ
- นอนยกศีรษะสูงโดยหนุนหมอน 2 ใบ จะช่วยลดอาการบวมได้
- ควรนอนในท่านอนหงายอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ อาจใช้หมอนข้างขนาบด้านข้างลำตัวหรือเอว เพื่อช่วยไม่ให้พลิกตะแคงลำตัว ได้ในขณะที่เผลอ