การผ่าตัดลดขนาดหน้าอกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งใน USA ได้แนะนำแนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยที่มีหน้าอกใหญ่ update ใหม่ล่าสุด โดยรวมรวมจาก 114 การศึกษา คลิปนี้จะมาสรุปเรื่องที่น่าสนใจ 5 ข้อต้องรู้กันครับ

การผ่าตัดลดขนาดหน้าอกมีเพิ่มขึ้นทุกปี ในสหรัฐอเมริกามีการผ่าตัดนี้ถึง 100,000 รายต่อปี ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่ง จึงได้ศึกษาแนวทางปฏิบัติในการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกและสรุปมาในวารสารชื่อ Plastic and Reconstructive Surgery หรือ PRS ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ที่ศัลยแพทย์ตกแต่งทุกคนต้องอ่าน เพราะเป็นวารสารที่ให้ความรู้ใหม่ๆ เพื่อพัฒนามาตรฐานในการดูแลผู้ป่วยอยู่เสมอ เล่มล่าสุดนี้ได้แนะนำแนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยที่มีหน้าอกใหญ่ ซึ่งจริงๆมีการ update เรื่องนี้ ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2012 ก็คือเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ครั้งนี้ก็มา update ใหม่ โดยรวมรวมจาก 114 การศึกษา แล้วมาสรุปให้อ่าน แต่บางอย่างเป็นเรื่องเทคนิคการผ่าตัด ซึ่งศัลยแพทย์ตกแต่งต้องอ่านอยู่แล้ว แต่วันนี้จะมาเล่าให้ฟังเฉพาะที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้
1. หน้าอกใหญ่ควรผ่าตัดหรือไม่ ?

ข้อแรก คนหน้าอกใหญ่ควรผ่าตัดหรือไม่ผ่าตัดดีกว่ากัน หน้าอกใหญ่ที่มีอาการต่างๆ ทั้ง ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดแขน มีอาการชา มีผื่นขึ้นใต้ราวนมจากเชื้อรา และมีแผลจากสายเสื้อชั้นใน โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างการรักษาแบบ ผ่าตัด กับไม่ผ่าตัด แบบไหนดีกว่ากัน โดยแบบผ่าตัดก็หมายถึงการผ่าตัดลดขนาดหน้าอก และแบบไม่ผ่าตัดก็หมายถึง การให้ยาแก้ปวด การใส่เสื้อชั้นในชนิดพิเศษ และการออกกำลังกายที่ทำให้กล้ามเนื้อหลังและคอแข็งแรงขึ้น
พบว่า การผ่าตัดได้ผลดีกว่าการรักษาแบบไม่ผ่าตัดในระยะยาว เพราะการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ผู้ป่วยยังคงมีอาการต่างๆอยู่ตลอด ไม่หายขาด นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มไม่ผ่าตัดยังมีแนวโน้มจะอ้วนขึ้นด้วย เนื่องจากไม่สามารถออกกำลังกายได้ และอาจมีผลกระทบต่อกระดูกสันหลังด้วย เพราะน้ำหนักหน้าอกที่มากเกินไป ทำให้กระดูกหลังและคอรับน้ำหนักมากขึ้น จึงมีกระดูกเสื่อมเร็วกว่าคนทั่วไป สรุปว่า ถ้าหน้าอกใหญ่ที่มีอาการควรผ่าตัดลดขนาดหน้าอก ยกเว้นคนที่มีโรคประจำตัว ที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัด ก็คงไม่มีทางเลือก ต้องใช้การรักษาแบบประคับประคองคือแบบไม่ผ่าตัดเท่านั้น
2. ควรลดขนาดหน้าอกลงไปเท่าไร ?

ข้อที่ 2 เรื่องการลดขนาดหน้าอก ต้องลดขนาดเท่าไรจึงทำให้อาการต่างๆดีขึ้น มีการศึกษาระหว่างการลดขนาดหน้าอกน้อยกว่า 500 กรัม เทียบกับ มากกว่า 500 กรัม พบว่า อาการต่างๆ ดีขึ้นทั้ง 2 กลุ่ม โดยอาการที่ดีขึ้นไม่ได้ขึ้นกับน้ำหนักหน้าอกที่ตัดออกไป (ถ้าต้องการรู้ว่าอาการไหนดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน ดูได้ใน 3 เรื่องต้องรู้ก่อนลดขนาดหน้าอก) ดังนั้นเวลาปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งก็บอกได้เลยว่าต้องการขนาดประมาณไหน จะได้ลดให้ได้ตามต้องการ โดยเฉพาะถ้ามีรูปมาให้ดูประกอบจะได้เข้าใจตรงกันว่าต้องการขนาดประมาณไหน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาว่านอกจากอาการต่างๆจะดีขึ้นแล้ว อารมณ์ ความวิตกกังวล โรคซึมเศร้า รวมถึงคุณภาพชีวิตในต้านต่างๆก็ดีขึ้นด้วย
3. การสูบบุหรี่เพิ่มภาวะแทรกซ้อน ?
ข้อที่ 3 การสูบบุหรี่ทำให้ภาวะแทรกซ้อนของการผ่าตัดเพิ่มขึ้นหรือไม่ จากการศึกษาพบว่า การสูบบุหรี่ทำให้แผลหายยากขึ้น และแผลติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้มีความเสี่ยงต่อการดมยาสลบเพิ่มขึ้นด้วย จึงแนะนำให้หยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
4. น้ำหนักมากเพิ่มภาวะแทรกซ้อน ?

ข้อที่ 4 น้ำหนักมากทำให้ภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นหรือไม่ หลายๆคนคิดว่าอ้วน แล้วแผลจะหายยาก ติดเชื้อได้ง่าย แต่จากการศึกษาในการผ่าตัดลดขนาดเต้านม พบว่า ถ้าน้ำหนักไม่มากจริงๆ จะไม่เพิ่มความเสี่ยงดังกล่าว โดยพบว่า ถ้า BMI หรือ body mass index มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ( วิธีการหา BMI ทำโดย การเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัม ตั้ง แล้วหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตร 2 ครั้ง ก็จะได้เป็น BMI) จึงเพิ่มความเสี่ยงให้มีแผลหายยากและแผลติดเชื้อเพิ่มขึ้น 12% หรือ 1.7-2.9 เท่าของคนน้ำหนักปกติ ดังนั้นถ้ามี BMI มากกว่า 35 จึงควรลดน้ำหนักโดยการออกกำลังกายหรือผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักให้ได้น้ำหนักตามต้องการก่อน จึงค่อยมาผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
5. ส่งเนื้อเต้านมตรวจ จำเป็นหรือไม่ ?
ข้อที่ 5 การส่งเนื้อเต้านมที่ตัดออกส่งตรวจทางพยาธิวิทยา จำเป็นหรือไม่ โดยปกติการผ่าตัดศัลยแพทย์ตกแต่งจะตรวจเต้านมเพื่อดูความผิดปกติก่อน และถ้าอายุมากกว่า 40 ปีหรือมีความเสี่ยงสูง ก็จะส่ง mammogram หรือ อัลตราซาวด์เต้านมก่อนผ่าตัดอยู่แล้ว ถ้ามีก้อนต้องหาสาเหตุก่อน และจากการศึกษาพบว่าชิ้นเนื้อของผู้ป่วยที่มาลดขนาดเต้านมพบว่า มีเนื้อผิดปกติได้ 3-10% และตรวจพบมะเร็ง 0.9-2.4% ดังนั้นการส่งตรวจชิ้นเนื้อควรพิจารณาเป็นรายๆไป
บทสรุป
จะเห็นว่าการผ่าตัดลดเต้านมมีข้อสรุปที่ควรรู้อยู่ 5 อย่างด้วยกัน คือ
ถ้ามีเต้านมใหญ่ที่มีอาการ ควรเลือกการผ่าตัดลดขนาดเต้านม อาการต่างๆจึงจะดีขึ้น โดยจะลดขนาดเต้านมลงมากหรือน้อยก็ช่วยเรื่องของอาการต่างๆได้ แต่ก่อนผ่าตัดควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ และควรควบคุมน้ำหนักให้ BMI น้อยกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร และสุดท้าย หลังผ่าตัดจะส่งชิ้นเนื้อหรือไม่ต้องคุยกับศัลยแพทย์ตกแต่ง เพราะความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมของแต่ละคนไม่เท่ากัน
รับชมคลิป 5 ข้อต้องรู้เกี่ยวกับคนหน้าอกใหญ่
ปรึกษาทีมแพทย์ BeContour
ท่านที่มีปัญหาต้องการปรึกษา สอบถามทุกเรื่องเกี่ยวกับศัลยกรรม สามารถสอบถามได้ทาง LINE @becontour (คลิกเพื่อเพิ่มเพื่อน) หรือโทร 065-528-9264